Our History of Activism

เราจะไม่หยุดสู้

อย่าที่เราทำมาตลอดทั้ง 35 ปีที่ผ่านมา และจะทำต่อไป เพื่อโลกที่เท่าเทียบและสวยงามยิ่งขึ้น สำหรับทุกๆคน

“คุณให้ความรู้แก่ผู้คนโดยการพูดให้เขารู้สึกสนใจและอยากรู้ในสื่งที่คุณอยากเล่า คูณชวนให้พนักงานของคุณมีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ร่วมกันพร้อมบอกว่าพวกเขากำลังทำสิ่งที่สำคัญ และ พวกเขาเป็นคนที่มีพลังที่มากพอที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ด้วยซ้ำ”

Dame Anita Roddick

เราจะสร้างการเปลี่ยนแปลงภายใน 35 ปี

เพื่อที่จะทำภารกิจนี้สำเร็จ เราจะต้องมีทรัพยากรที่ดี พนักงานทุกคนที่ The Body Shop ล้วนเป็นนักสร้างการเปลี่ยนแปลง และพวกเขาเหล่านั้นมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงโลกได้ ตราบใดที่เรายังคงสู้ด้วยกันต่อไป

เรามุ่งมั่นเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในระยะยาวสำหรับคนรุ่นต่อไป ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราได้รณรงค์ในประเด็นที่แม้แต่ธุรกิจอื่นๆ ยังไม่กล้าที่จะแตะจริงจัง เช่น เราได้รณรงค์ต่อต้านการทำลายป่าฝนอเมซอน เราได้ต่อสู้กับเรื่องการทดลองสินค้ากับสัตว์ รวมถึงการค้ามนุษย์ การค้าประเวณีเด็กและเยาวชน แม้ว่าในปี 1997 การที่เรา เดอะ บอดี้ ช็อป ณรงค์เพื่อสิทธิของชาวโอโกนี ทั้งๆที่เราไม่ได้มีธุรกิจหรือค้าขายกับทางในไนจีเรียจริงๆ แต่สำหรับเรามันคือเรื่องที่สำคัญ เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องต้องทำ

และนี่ นี่คือแคมเปญบางส่วนที่เราภูมิใจมากที่สุด :

1986 – ช่วยวาฬ” ร่วมกับกรีนพีซ

แคมเปญใหญ่ครั้งแรกที่คุณแอนนิต้า ร็อดดิก และ The Body Shop ได้รณรงค์เรื่องภัยคุกคามต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่อย่างวาฬ

1988 – ปกป้องโอโซน

ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 กลุ่มรักษ์สิ่งแวดล้อมมองว่าปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นภัยคุกคามต่อโลก แอนนิต้า เป็นตัวแทนของ The Body Shop ในสนับสนุนประเด็นภาวะโลกร้อน เราทำงานร่วมกับกรีนพีซในการรณรงค์ต่อต้านการทำลายชั้นโอโซนโดยสารซีเอฟซี

1989 – “หยุดการเผาไหม้” เพื่อรักษาป่าฝนของโลกใบนี้

แคมเปญ"Stop the Burning" ของเราได้รวบรวมลายเซ็นเกือบล้านรายการเพื่อเรียกร้องให้ยุติการเผาป่าฝนในบราซิล นอกจากนี้ แอนนิต้ายังทุ่มเทอย่างมากให้กับการรณรงค์ เพื่อหยุดยั้งการสร้างโครงการเขื่อนครั้งใหญ่ใหญ่ในบราซิลอีกด้วย

วิธีการที่ แอนนิต้า ใช้คือ การสร้างความตระหนัดให้กับผู้คนโดยการเดินรณรงค์ไปตามท้องถนน ด้วยการตั้งคำถามง่ายๆ เช่น 'คุณรู้หรือไม่ว่าพื้นที่ขนาดเท่าประเทศเวลส์กำลังถูกไฟไหม้ทุกปี' ซึ่ง ณ ตอนนั้นปัญหาดังกล่าวถือว่าเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก

1991 - รณรงค์ต่อต้านการทดลองสินค้ากับสัตว์

นี่อาจเป็นแคมเปญที่โดดเด่นที่สุดของเรา และเป็นแคมเปญที่ทำให้เราเป็นแบรนด์เครื่องสำอางแบรนด์แรกที่รณรงค์เกี่ยวกับประเด็นการทดลองในสัตว์ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางค์ ในปี 1996 เราได้ยื่นคำร้องที่ลงนามโดยผู้คน 4 ล้านคนต่อคณะกรรมาธิการยุโรป และในปี 1998 สหราชอาณาจักรได้ประกาศห้ามการทดลองกับผลิตภัณฑ์และส่วนผสมเครื่องสำอางในสัตว์ มันคือการเคลื่อนไหวเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง และยังคงเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่น่าภาคภูมิใจที่สุดของเรามากๆ

1993 – ชาวโอโกนิ

เดอะ บอดี้ ช็อป เปิดตัวแคมเปญที่ที่รู้จักอีกครั้ง เพื่อสร้างความตื่นตัวให้กับผู้คนที่วโลก เหตุกาณ์ที่่บริษัท Shell ได้ทำการข่มเหงรังแกชาว Ogoni และ Ken Saro-Wiwa ผู้นำของพวกเขาเนื่องมาจากการประท้วงต่อต้าน Shell บริษัทข้ามชาติด้านน้ำมันและก๊าซ รวมถึงกลุ่มเผด็จการไนจีเรียที่ใช้ประโยชน์จากบ้านเกิดของตนมากเกินไป

“ฉันคิดว่าธุรกิจต่างๆ มองว่าสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องน่ารำคาญ เป็นภัยคุกคามต่อผลกำไร… หากธุรกิจขนาดใหญ่มีอำนาจมากกว่ารัฐบาลแต่ยังไม่สนใจเรื่องสิทธิมนุษยชน ก็คงมีแต่พระเจ้าที่จะช่วยแหละ”

1997 – ต้นกำเนิดของ Ruby

เดอะ บอดี้ ช็อป เปิดตัวแคมเปญการเห็นคุณค่าในตนเองด้วยตุ๊กตาขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่า Ruby ซึ่งถูกวางตามร้านค้าในสหราชอาณาจักรด้วยสโลแกนอันทรงพลังว่า "มีผู้หญิง 3 พันกว่าล้านคนที่ดูไม่เหมือนนางแบบและมีเพียงแค่ 8 คนเท่านั้นที่เหมือน"

Ruby ได้ท้าทายอคติแบบเหมารวมต่อวงการความงามอย่างเปิดเผย นั่นเองทำให้เรื่องของความซื่อสัตย์ การเผชิญหน้า และด้วยความทะเยอทะยานที่เป็นลักษณะเฉพาะ Ruby เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการถกเถียงกันทั่วโลกเกี่ยวกับภาพลักษณ์และความนับถือตนเอง

1998 – “จุดเริ่มต้นของชื่อเสียง” กับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล

สำหรับแอนนิต้า การกระทำย่อมสำคัญที่สุด เธอมอบอำนาจให้พนักงานร้านค้าจัดทำแคมเปญในแบบของตนเอง ปรัชญาคือ 'glocal' - หมายถึงปัญหาระดับท้องถิ่น แต่มีการมองผลลัพธ์ที่มีอิมแพคระดับโลก นอกเหนือจากการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชนในระดับนานาชาติแล้ว พนักงานของเราที่ยังทำหน้าทีเป็นอาสาสมัครที่ศูนย์ลี้ภัยในท้องถิ่นอีกด้วย ความสัมพันธ์ที่ดีงามรหะว่างชุมชนกับพนักงานทำให้เราสามารถช่วยเหลือกันได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ ในปี 1998 เรายังร่วมมือกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลและรณรงค์เพื่อเน้นย้ำถึงสถานการณ์อันเลวร้ายของนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนทั่วโลก แคมเปญดังกล่าวมีผู้สนใจกกว่าสามล้านรายสร้างชื่อเสียงใน 34 ประเทศโดยการ "ลงนาม" ซึ่งส่งผลให้คนที่ถูกจำคุกเพราะเห็นต่างในเรื่องของศาสนาและความคิดทั้ง 17 คนจาก 30 คนเป็นอิสระ

2002 – “เลือกพลังงานที่เป็นมิตร” กับกรีนพีซ

ในปี 2002 แนวคิดเรื่องพลังงานหมุนเวียนค่อนข้างใหม่หรือถูกมองว่าเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย ดังนั้นเราจึงจัดทำแคมเปญเพื่อผลักดันแนวคิดดังกล่าวให้กลายเป็นประเด็นสำคัญ แนวคิดเหล่านี้ไม่ได้รับความนิยมมากนักในร้านแฟรนไชส์ระดับโลกของเรา เช่น อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่ส่งออกปิโตรเลียมจำนวนมาก แต่เราแน่วแน่ ด้วยการยื่นคำร้องและปลูกฝังให้ความรู้แก่พนักงาน และมันก็ได้ผล แคมเปญระดับโลกนี้ปิดท้ายด้วยการนำเสนอลายเซ็นของลูกค้ามากกว่า 6 ล้านรายที่การประชุมสุดยอดระดับโลกเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในเมืองโจฮันเนสเบิร์ก

เราตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราต่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมผ่านการลงทุนในพลังงานทดแทน การให้ทุนสนับสนุนโครงการด้านพลังงานในประเทศที่มีรายได้น้อย และการสนับสนุนให้ลูกค้าเอาสินค้าที่ใช้แล้วมาให้เรารีไซเคิลเป็นบรรจุภัณฑ์ของเรา

2003 – รณรงค์หยุดความรุนแรงในบ้าน นี่เป็นแคมเปญระดับโลกที่สร้างขึ้นจากการรณรงค์

นี่เป็นแคมเปญระดับโลกที่สร้างขึ้นจากการรณรงค์ในประเด็นนี้เป็นเวลา 10 ปีในแต่ละประเทศ เช่น แคนาดา มาเลเซียตะวันตก และสหรัฐอเมริกา โดยเน้นประเด็นความรุนแรงในครอบครัวในกว่า 50 ประเทศ และตั้งแต่นั้นมาก็ระดมเงินได้มากกว่า 2 ล้านปอนด์เพื่อสนับสนุนผู้ที่เป็นเหยื่อจากความรุนแรงในบ้าน ในบางประเทศ เช่น อินโดนีเซียและแคนาดา การรณรงค์ดังกล่าวช่วยเปลี่ยนแปลงกฎหมายว่าด้วยความรุนแรงในครอบครัวอีกด้วย

เจ้าหน้าที่อาสาและพบปะกับผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงในครอบครัว พนักงานในตลาดต่างๆ พบกับผู้หญิงที่ออกจากบ้านที่ถูกทารุณกรรม และติดต่อกับพวกเธอตลอดการเดินทางสู่การจ้างงาน ข้อมูลเชิงลึกของพนักงานจำนวนมากในเวลานี้เป็นแรงบันดาลใจให้กับโปรแกรมการจ้างงานแบบครอบคลุมของเราในอเมริกาเหนือ

2008 ถึง 2012 – ระดมทุนได้มากกว่า 600,000 ปอนด์สำหรับมูลนิธิ STAYING ALIVE FOUNDATION ผ่านการรณรงค์ให้ความรู้เรื่องเอชไอวี/เอดส์กับ MTV

ในปี 2008 เราได้จัดทำแคมเปญ ด้วยการมอบรายได้ 100% จากผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุดบางส่วนของเราให้กับมูลนิธิ Staying Alive ดำเนินกิจการมาเป็นเวลาสี่ปีและระดมทุนได้มากกว่า 4 ล้านปอนด์ เงินเหล่านี้ทำให้พวกเขามีอิสระในการสร้างอาชีพให้คนหนุ่มสาวได้ทำงานในชุมชนของตนเองในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวี

2009 ถึง 2012 – รณรงค์หยุดการค้าประเวณีเด็กและเยาวชน

แคมเปญ Stop Sex Trafficking of Children and Young People เป็นหนึ่งในแคมเปญที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเท่าที่เราเคยมีมา เรารวบรวมลายเซ็น 7 ล้านลายเซ็น และนำเสนอต่อประมุขแห่งรัฐ รัฐมนตรีของรัฐบาล และบุคคลสำคัญใน 40 ประเทศทั่วโลกในปี 2554 โดยได้สร้างแรงบันดาลใจให้รัฐบาลกว่า 20 ประเทศ โดยการให้คำมั่นที่จะออกกฎหมายใหม่เพื่อคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบหรือเสี่ยงต่อการค้าประเวณี

2010 ถึง 2013 – “เป็นนักกิจกรรม” แคมเปญรณรงค์ให้ความรู้เรื่องเอชไอวี/เอดส์ และความร่วมมือ 3 ปีกับ UN AIDS

เราสร้างความร่วมมือครั้งสำคัญกับ UN AIDS ซึ่งเปิดตัวทั่วโลกในวันเอดส์โลก 1 ธันวาคม 2010 ข้อความรณรงค์หลักมุ่งเน้นไปที่การแจ้งให้ผู้คนทั่วโลกทราบทั่วทั้งร้านค้าของเดอะ บอดี้ ช็อปและเครือข่ายทั่วโลกของ UN AIDS มันสนับสนุนแนวคิดเรื่องการเป็นพันธมิตรในประเด็นที่ยังคงเป็นเรื่องต้องห้ามทั่วโลก โดยสนับสนุนข้อความที่ว่าทุกคนสามารถเป็นนักเคลื่อนไหวในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของเชื้อ HIV โดยไม่คำนึงถึงสถานะ ความเชื่อ หรือภูมิหลังของพวกเขา

2012 ถึง 2013 – หยุดการกระทำอันโหดร้ายตอเพื่อนร่วมโลก ห้ามทั่วโลกทดสอบสัตว์เครื่องสำอางกับสัตว์

ในช่วงฤดูร้อนปี 2555 เดอะ บอดี้ ช็อป ภูมิใจที่ได้สนับสนุนการเปิดตัว Cruelty Free International ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งแรกของโลกที่อุทิศตนในการห้ามทั่วโลกทดลองเครื่องสำอางค์กับสัตว์สำหรับ แม้จะมีรัฐบาลทั่วโลกถึง 80% ที่ห้ามการทดลองกับสัตว์ เแต่ดอะ บอดี้ ช็อป จะขอเรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแลทุกแห่ง ทุกที่เข้าร่วมและลงนาม เพื่อเป็นก้าวสำคัญใหม่ในประวัติศาสตร์

2021 – สนับสนุนเครื่องสำอางค์ที่ไม่ทดลองกับสัตว์

จากการที่สหภาพยุโรปสั่งห้ามการทดสอบเครื่องสำอางในสัตว์ ทำให้เกิดคำมั่นสัญญาของยุโรปที่สัตว์จะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานและตายเพราะอุสาหากรรทเครื่องสำอางอีกต่อไป ในปี 2021 เราเห็นว่าสหภาพยุโรปเริ่มผิดสัญญานี้ ในอุตสาหกรรมนี้ เราได้ร่วมมือกับ Dove, PETA, CFI และองค์กรคุ้มครองสัตว์ชั้นนำกว่า 500 องค์กร เพื่อรณรงค์ให้ดำเนินการเร่งจัดการกับองค์กรค์เหล่านี้อย่างด่วน เราทำงานร่วมกันทั่วทั้งทวีปโดยหวังว่าจะรวบรวมลายเซ็นหนึ่งล้านลายเซ็นเพื่อนำเรื่องนี้กลับไปยังคณะกรรมาธิการยุโรปเพื่อให้หยุดการกระทำอันโหดร้ายนี้

และเราไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น

เราจะก้าวต่อไป คุณสามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของเราทั้งในอดีตและปัจจุบันได้ที่นี่